Category: Forex Strategy

  • 7 เหตุผลที่การวิเคราะห์ Capital Expenditures ทำให้คุณอ่านตลาดแม่นขึ้น

    7 เหตุผลที่การวิเคราะห์ Capital Expenditures ทำให้คุณอ่านตลาดแม่นขึ้น

    “กราฟคือภาพที่เห็น Capital Expenditures คือแผนที่ที่มองไม่เห็น” ถ้าคุณคุ้นเคยกับการใช้เครื่องมือบนกราฟ เช่น RSI, MACD หรือ Fibonacci แล้วพบว่าในบางช่วงตลาด “พลิกทิศ” แบบไม่ทิ้งสัญญาณไว้เลย — นั่นแปลว่า คุณอาจพลาดบางอย่างที่สำคัญไป หนึ่งในเครื่องมือลับที่มือโปรใช้กันคือการวิเคราะห์ CapEx (Capital Expenditures) — ค่าใช้จ่ายที่บริษัทลงทุนเพื่ออนาคต เช่น โรงงาน เครื่องจักร หรือซอฟต์แวร์ระบบ CapEx บอกอะไร? หากคุณดูกราฟบน MT5 ทุกวัน CapEx จะช่วยให้คุณ “อ่านหลังบ้าน” ของสินทรัพย์เหล่านั้นได้ล่วงหน้า — ก่อนราคาจะตอบสนองจริง Capital Expenditures คืออะไร ใช้ยังไงกับการวิเคราะห์ตลาด ยิ่งคุณจับสัญญาณ CapEx ได้เร็ว ก็ยิ่งตีความกราฟได้แม่น 7 เหตุผลที่ควรใช้ Capital Expenditures (CapEx) วิเคราะห์ตลาด 1. บอกความเชื่อมั่นขององค์กร หากบริษัทลงทุนก้อนใหญ่ เช่น…

  • แม่นยำระดับโปร วิธีหา ราคาดุลยภาพ เพื่อเทรดให้มีกำไรจริง

    แม่นยำระดับโปร วิธีหา ราคาดุลยภาพ เพื่อเทรดให้มีกำไรจริง

    การเทรดให้แม่นยำไม่ใช่แค่เรื่องของโชค แต่เป็นเรื่องของ “ข้อมูล” และ “จังหวะ” โดยเฉพาะ “ราคาดุลยภาพ (Fair Value)” ที่นักเทรดมืออาชีพใช้เป็นจุดอ้างอิงหลัก เพื่อประเมินว่าราคาตอนนี้ “แพงเกินไป” หรือ “ถูกเกินไป” หรืออยู่ใน “ราคาที่เหมาะสม” หากคุณสามารถระบุราคาดุลยภาพได้อย่างแม่นยำ ก็จะสามารถ “เข้าจุดซื้อขาย” ได้อย่างมั่นใจและลดความเสี่ยงได้อย่างมาก ราคาดุลยภาพ คืออะไร และทำไมถึงสำคัญ? ราคาดุลยภาพ (Equilibrium/Fair Value) คือ ราคาที่ตลาดยอมรับว่าเหมาะสม โดยเกิดจากการสมดุลระหว่างแรงซื้อและแรงขาย จุดนี้เป็นที่ที่ “ความโลภ” และ “ความกลัว” ของนักลงทุนมักจะสงบลงชั่วคราว ก่อนที่ราคาจะเคลื่อนที่ต่อไปในทิศทางใหม่ แม้คำนี้จะดูเชิงทฤษฎี แต่มันคือ “หัวใจ” ของการเทรดแบบมือโปร โดยเฉพาะในตลาดที่ผันผวน เช่น Forex, Crypto และ Futures วิธีประเมิน ราคาดุลยภาพแบบมือโปร ใช้ Volume Profile หาจุดสะสมพลังของราคา หนึ่งในเครื่องมือทรงพลังคือ Volume Profile ซึ่งแสดงว่า…

  • หลักการ Dow Theory เครื่องมือวิเคราะห์ที่ทรงพลังสำหรับเทรดเดอร์ปี 2025

    หลักการ Dow Theory เครื่องมือวิเคราะห์ที่ทรงพลังสำหรับเทรดเดอร์ปี 2025

    Dow Theory เป็นทฤษฎีการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายและเป็นรากฐานของการศึกษาตลาดหุ้นและการเคลื่อนไหวของราคา โดยทฤษฎีนี้เกิดขึ้นจาก Charles Henry Dow ซึ่งแนะนำว่าตลาดสะท้อนข้อมูลทั้งหมดที่มีผลต่อราคาอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ Dow Theory ยังชี้ว่าแนวโน้มหลักมักประกอบด้วย 3 ระยะสำคัญ คือ ระยะการสะสม (Accumulation) ระยะเกิดแนวโน้ม (Participation) และระยะการกระจาย (Distribution) ในปี 2025 Dow Theory ยังคงเป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับการวิเคราะห์กราฟและเหมาะกับนักลงทุนที่สนใจทั้งตลาดหุ้นและตลาดคริปโต Dow Theory: เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่นักลงทุนต้องรู้จัก Dow Theory เป็นทฤษฎีการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญในโลกการเงินและได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย โดย Charles Henry Dow ผู้ก่อตั้ง ได้วางรากฐานความเข้าใจเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาที่สะท้อนข้อมูลทุกอย่างในตลาด รวมถึงแนวโน้มราคาที่เกิดขึ้นเป็นระยะในตลาดหุ้นและคริปโต ในปี 2025 นี้ นักลงทุนยังคงสามารถใช้ Dow Theory เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการวิเคราะห์แนวโน้มราคาและการเคลื่อนไหวของตลาด ความสำคัญของ Dow Theory ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค การทำความเข้าใจ Dow Theory จะช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มในตลาดได้ดียิ่งขึ้น โดย…

  • 5 ขั้นตอนการวิเคราะห์คลื่น Elliott Wave เพื่อการเทรดที่มีประสิทธิภาพ

    5 ขั้นตอนการวิเคราะห์คลื่น Elliott Wave เพื่อการเทรดที่มีประสิทธิภาพ

    ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับทฤษฎีคลื่น Elliott Wave ทฤษฎีคลื่น Elliott Wave หรือ “Elliott Wave Theory” คือแนวคิดที่ใช้ในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาในตลาดการเงิน โดยเชื่อว่าราคาจะเคลื่อนไหวในรูปแบบคลื่นซ้ำๆ ที่ประกอบด้วย “คลื่นเร่ง” 5 คลื่นในทิศทางเดียวกับเทรนด์หลัก และ “คลื่นปรับ” 3 คลื่นในทิศทางตรงข้ามกับเทรนด์หลัก การเข้าใจรูปแบบคลื่นเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนคาดการณ์ทิศทางตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ขั้นตอนที่ 1: ระบุรูปแบบคลื่น การเริ่มต้นวิเคราะห์คลื่นเอลเลียตจำเป็นต้องรู้จักรูปแบบหลัก 2 ประเภท ได้แก่ คลื่นเร่ง (Motive Wave) ซึ่งประกอบด้วย 5 คลื่น และ คลื่นปรับ (Corrective Wave) ที่ประกอบด้วย 3 คลื่น ซึ่งทั้งสองรูปแบบนี้ช่วยให้เราวิเคราะห์แนวโน้มและจุดกลับตัวของราคาได้ ขั้นตอนที่ 2: การนับคลื่นตามโครงสร้าง 5-3 เมื่อระบุรูปแบบได้แล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการนับคลื่นตามโครงสร้างที่เป็นลักษณะ 5-3 ของทฤษฎีเอลเลียต การนับคลื่นช่วยให้มองเห็นภาพรวมของแนวโน้มและช่วยให้เราทำนายช่วงที่ตลาดจะเกิดการกลับตัวได้ ขั้นตอนที่ 3: วิเคราะห์การปรับตัวของคลื่นด้วยฟีโบนัชชี การใช้…

  • การเทรด Forex ให้ได้วันละ 1000 บาท – เคล็ดลับและกลยุทธ์สำหรับผู้เริ่มต้น

    การเทรด Forex ให้ได้วันละ 1000 บาท – เคล็ดลับและกลยุทธ์สำหรับผู้เริ่มต้น

    ทำความรู้จักกับ Forex และการตั้งเป้าหมายในการเทรด ตลาด Forex คืออะไร? ตลาด Forex (Foreign Exchange) เป็นตลาดการแลกเปลี่ยนสกุลเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีการซื้อขายสกุลเงินต่างๆ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ (USD), ยูโร (EUR), เยนญี่ปุ่น (JPY) และอีกมากมาย ตลาดนี้เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมงในวันจันทร์ถึงศุกร์ เนื่องจากเป็นตลาดที่ครอบคลุมทั่วโลก ทำให้นักเทรดสามารถเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมกับตนเองได้ การทำกำไรในตลาด Forex มาจากการซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงิน โดยซื้อเมื่อคาดว่าราคาจะขึ้น และขายเมื่อคาดว่าราคาจะลง ปัจจัยที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคา Forex ราคาสกุลเงินในตลาด Forex มีความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น นโยบายทางการเงินของธนาคารกลาง การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และสถานการณ์การเมืองของแต่ละประเทศ การติดตามข่าวสารเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักเทรด เพราะจะช่วยให้สามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำขึ้น การเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้คุณคาดการณ์แนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้นและระยะยาวได้ดียิ่งขึ้น กลยุทธ์การวางแผนและการตั้งเป้าหมายในการเทรดให้ประสบความสำเร็จ  การคำนวณการทำกำไรวันละ 1000 บาท การตั้งเป้าหมายการทำกำไรในตลาด Forex ให้ได้วันละ 1000 บาทนั้นต้องมีการวางแผนอย่างดี ถ้าคุณมีเงินทุนเริ่มต้นที่ 10,000 บาท การทำกำไรเพียง…

  • Pullback คือสัญญาณการซื้อขายที่ดีหรือไม่? มาค้นหาคำตอบกัน!

    Pullback คือสัญญาณการซื้อขายที่ดีหรือไม่? มาค้นหาคำตอบกัน!

    Pullback เป็นหนึ่งในเทคนิคที่นักลงทุนและเทรดเดอร์ใช้เพื่อพิจารณาโอกาสในการเข้าสู่ตลาดหรือการทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์. แต่คำถามที่น่าสนใจคือ Pullback คือสัญญาณการซื้อขายที่ดีหรือไม่? บทความนี้จะพาคุณไปค้นหาคำตอบ พร้อมทั้งเรียนรู้วิธีใช้ Pullback อย่างมีประสิทธิภาพในการเทรด. Pullback คืออะไร? Pullback หมายถึงการเคลื่อนไหวของราคาที่เป็นการปรับตัวลดลงหรือพักตัวของสินทรัพย์ภายในแนวโน้มหลัก (Uptrend หรือ Downtrend). กล่าวง่ายๆ คือ เมื่อราคาเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว ราคาจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่ “ถอยกลับ” เพื่อปรับสมดุลก่อนที่จะกลับไปเคลื่อนไหวตามแนวโน้มเดิม. ตัวอย่างของ Pullback ในกราฟราคา เมื่อเราดูกราฟของสินทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นหุ้น, ฟอเร็กซ์ หรือคริปโตเคอร์เรนซี่ เราจะพบเห็นได้บ่อยๆ ว่าหลังจากราคาพุ่งขึ้นแรง ๆ มักจะมีการถอยลงเล็กน้อยก่อนที่จะวิ่งขึ้นต่อ. การถอยลงนี้เรียกว่า Pullback. Pullback กับการเทรดแบบ Trend Following นักเทรดที่ใช้กลยุทธ์ “Trend Following” จะมองหาโอกาสในการเข้าสู่ตลาดเมื่อเกิด Pullback โดยใช้ Pullback เป็นจุดเริ่มต้นเพื่อเทรดตามแนวโน้มหลักของตลาด. แนวคิดนี้เชื่อว่าหลังจากการพักตัวของราคา ราคาจะกลับมาเดินตามแนวโน้มเดิม ซึ่งหากเราเข้าสู่ตลาดในช่วง Pullback เราจะมีโอกาสทำกำไรได้มากขึ้น. ทำไม Pullback จึงเป็นสัญญาณที่นิยม? Pullback…

  • Breakout คืออะไร? รู้จักกับกลยุทธ์การลงทุนที่ทำกำไรได้จริง

    Breakout คืออะไร? รู้จักกับกลยุทธ์การลงทุนที่ทำกำไรได้จริง

    การลงทุนในตลาดการเงินเป็นเรื่องที่ต้องใช้กลยุทธ์เพื่อทำกำไรอย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในเทคนิคที่นักลงทุนหลายคนใช้คือ Breakout ซึ่งเป็นสัญญาณที่ช่วยให้เราทราบว่าราคาของสินทรัพย์มีแนวโน้มจะเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญ ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับ Breakout คืออะไร และวิธีการใช้กลยุทธ์นี้เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจริง ๆ ได้อย่างไร Breakout คืออะไร? Breakout ในบริบทของตลาดการเงิน หมายถึงการที่ราคาของสินทรัพย์ (หุ้น, คริปโต, สินค้าโภคภัณฑ์ ฯลฯ) เคลื่อนที่ผ่านแนวรับ (Support) หรือแนวต้าน (Resistance) ที่เคยทำให้ราคานั้นหยุดนิ่งหรือเคลื่อนไหวในกรอบแคบมาก่อนหน้านี้ การทะลุผ่านระดับเหล่านี้มักเป็นสัญญาณว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทิศทางของราคา ซึ่งนักลงทุนสามารถใช้โอกาสนี้ในการซื้อหรือขายเพื่อทำกำไร การทำงานของ Breakout ในตลาดการเงิน Breakout เกิดขึ้นเมื่อมีแรงซื้อหรือแรงขายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ราคาพุ่งทะลุระดับสำคัญไป แนวรับและแนวต้านเป็นจุดที่นักลงทุนหลายคนจับตามองเพื่อดูว่าเมื่อไรราคาจะทะลุผ่าน หากราคาทะลุแนวต้านขึ้นไปได้ นักลงทุนมักมองว่าเป็นโอกาสซื้อ แต่หากทะลุแนวรับลงไป ก็เป็นสัญญาณที่นักลงทุนอาจใช้ในการขายหรือเปิดสถานะขาย (Short Selling) ประเภทของ Breakout 1. Breakout ขึ้น (Bullish Breakout) เป็นการที่ราคาทะลุผ่านแนวต้าน ซึ่งมักบ่งบอกถึงแนวโน้มขาขึ้นที่จะตามมา นักลงทุนจะใช้โอกาสนี้ในการเข้าซื้อเพื่อทำกำไรในระยะต่อไป 2. Breakout ลง (Bearish Breakout)…

  • การใช้กราฟแท่งเทียนกลับตัวร่วมกับแนวรับแนวต้าน

    การใช้กราฟแท่งเทียนกลับตัวร่วมกับแนวรับแนวต้าน

    การเทรดในตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นฟอเร็กซ์ หุ้น หรือทองคำ มีเครื่องมือหลายอย่างที่ช่วยให้เราวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในเครื่องมือที่นิยมใช้มากที่สุดคือ “กราฟแท่งเทียน” โดยเฉพาะ “แท่งเทียนกลับตัว” ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม การใช้กราฟแท่งเทียนกลับตัวร่วมกับ “แนวรับแนวต้าน” สามารถช่วยให้นักลงทุนวางแผนการเทรดได้แม่นยำยิ่งขึ้น และลดความเสี่ยงในการตัดสินใจผิดพลาด แท่งเทียนกลับตัวคืออะไร แท่งเทียนกลับตัว (Reversal Candlestick) เป็นกราฟที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของทิศทางราคาที่ชัดเจน หากราคาอยู่ในช่วงขาขึ้น (Uptrend) แต่แท่งเทียนกลับตัวปรากฏขึ้น นั่นหมายความว่าราคากำลังจะเปลี่ยนทิศทางเข้าสู่ช่วงขาลง (Downtrend) และในทำนองเดียวกัน หากตลาดกำลังเป็นขาลง แต่พบแท่งเทียนกลับตัว ก็เป็นสัญญาณว่าราคากำลังจะพลิกกลับสู่แนวโน้มขาขึ้น ตัวอย่างของแท่งเทียนกลับตัวที่เราควรรู้จักได้แก่: การทำความเข้าใจแท่งเทียนเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นของการวางแผนการเทรดที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อนำมาใช้ร่วมกับแนวรับแนวต้าน ประเภทของแท่งเทียนกลับตัว การแยกประเภทของแท่งเทียนกลับตัวจะช่วยให้เรารู้ว่าสัญญาณที่เห็นนั้นเป็นสัญญาณซื้อ (Bullish Reversal) หรือสัญญาณขาย (Bearish Reversal) ซึ่งมีความสำคัญต่อการตัดสินใจเทรด ดังนี้: การเรียนรู้และจดจำลักษณะของแต่ละประเภทของแท่งเทียนจะช่วยให้เราเข้าใจสภาวะตลาด และทำให้เราสามารถวางแผนได้ดีขึ้น วิธีการอ่านกราฟแท่งเทียนในตลาด Forex ในตลาด Forex การอ่านกราฟแท่งเทียนเป็นหนึ่งในทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่ง หากคุณสามารถอ่านกราฟและตีความแท่งเทียนได้อย่างถูกต้อง คุณจะสามารถวิเคราะห์แนวโน้มและจับจังหวะที่เหมาะสมในการเทรดได้ง่ายขึ้น โดยทั่วไปแล้ว กราฟแท่งเทียนมี 4 ข้อมูลที่สำคัญที่เราต้องให้ความสำคัญคือ: การเปรียบเทียบข้อมูลเหล่านี้ในแต่ละแท่งเทียนจะช่วยให้เราวิเคราะห์ทิศทางและแรงซื้อขายของตลาด นอกจากนี้…

  • เทรด Forex Divergence มีข้อดีอะไรบ้าง

    เทรด Forex Divergence มีข้อดีอะไรบ้าง

    การเทรด Forex นั้นเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่มนักลงทุน และหนึ่งในกลยุทธ์ที่ถูกนำมาใช้บ่อยๆ ก็คือการใช้ Divergence หรือสัญญาณการกลับตัวที่ซ่อนอยู่ในการเคลื่อนไหวของราคากับอินดิเคเตอร์ หากคุณเคยสงสัยว่าเทคนิคนี้มีข้อดีอะไรบ้าง หรือมันสามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไรของคุณได้จริงหรือไม่ วันนี้เราจะมาเจาะลึกถึงประโยชน์ที่คุณสามารถได้รับจากการใช้ Divergence ในการเทรด Divergence คืออะไรในโลกการเทรด Divergence หรือ “ดีเวอร์เจนซ์” หมายถึงสัญญาณที่บ่งบอกถึงการเคลื่อนไหวของราคาที่สวนทางกับอินดิเคเตอร์ เช่น RSI, MACD หรือ Momentum Indicator โดยปกติแล้ว Divergence จะเกิดขึ้นเมื่อราคายังขึ้นหรือลงต่อไป แต่กราฟอินดิเคเตอร์แสดงถึงการสูญเสียโมเมนตัม ซึ่งอาจเป็นสัญญาณให้ระวังว่าราคาอาจจะกลับทิศทางในไม่ช้า ประเภทของ Divergence Divergence มี 2 ประเภทหลักที่ใช้ในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคา ซึ่งได้แก่: 1. Regular Divergence Regular Divergence เกิดขึ้นเมื่อราคาทำจุดสูงสุดใหม่หรือต่ำสุดใหม่ แต่กราฟอินดิเคเตอร์ไม่ได้ทำจุดสูงสุดหรือต่ำสุดตาม การเกิด Regular Divergence บ่งบอกว่าราคามีโอกาสกลับตัวจากแนวโน้มปัจจุบัน 2. Hidden Divergence Hidden Divergence เกิดขึ้นในขณะที่ราคาทำจุดสูงสุดหรือต่ำสุดที่ต่ำกว่าเดิม แต่กราฟอินดิเคเตอร์กลับแสดงสัญญาณตรงกันข้าม สัญญาณนี้มักใช้เพื่อบ่งบอกถึงการยืนยันแนวโน้มเดิมของตลาด…

  • ความสำคัญของ Stochastic Oscillator ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค

    ความสำคัญของ Stochastic Oscillator ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค

    Stochastic Oscillator เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางเทคนิคที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่นักลงทุนและนักเทรด เครื่องมือนี้มีความสามารถในการระบุสัญญาณการซื้อและขายอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงทิศทาง ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ สโตแคสติก ออสซิลเลเตอร์ ในเชิงลึก ทั้งประวัติความเป็นมา การทำงาน และการนำไปใช้ในกลยุทธ์การเทรดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ตลาด Stochastic Oscillator คืออะไร? Stochastic เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดความแข็งแกร่งและความเร็วของแนวโน้มราคา โดยใช้การเปรียบเทียบระหว่างราคาปิดปัจจุบันกับช่วงราคาสูงสุดและต่ำสุดในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการหาจุดกลับตัวของราคาในตลาดที่ผันผวน ประวัติและที่มาของ Stochastic Oscillator เครื่องมือนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดย Dr. George Lane ในปี 1950 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการวิเคราะห์การกลับตัวของแนวโน้มราคา Dr. Lane เชื่อว่าราคามักจะปิดใกล้กับจุดสูงสุดในตลาดขาขึ้นและใกล้กับจุดต่ำสุดในตลาดขาลง Stochastic จึงถูกออกแบบมาเพื่อติดตามพฤติกรรมเหล่านี้ แนวคิดพื้นฐานของ สโตแคสติก ออสซิลเลเตอร์ หลักการของ สโตแคสติก ออสซิลเลเตอร์ คือการใช้เส้นสองเส้น คือ %K และ %D เพื่อติดตามแนวโน้มของราคา เส้น %K เป็นเส้นที่มีการเคลื่อนไหวเร็ว ในขณะที่ %D เป็นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของ %K ซึ่งช่วยในการยืนยันสัญญาณการซื้อขาย…