ราคา Gold ทองสปอตที่ตลาดสหรัฐดิ่งลง 27.66 ดอลลาร์ หรือ 1.37% สู่ 1,992.13 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร หลังจากรูดลงแตะ 1,989.98 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค. หรือจุดต่ำสุดรอบ 2 เดือน โดยราคาทองได้รับแรงกดดันจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่อยู่สูงเกินคาด เพราะตัวเลขดังกล่าวทำให้นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ ราคาทองได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐด้วย
- ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดรอบ 3 เดือนในระหว่างช่วงการซื้อขายวันอังคาร หลังจากสหรัฐรายงานว่า อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงเกินคาดในเดือนม.ค. และตัวเลขดังกล่าวช่วยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25-5.50% ตามเดิมในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. ทั้งนี้ สำนักงานสถิติแรงงาน ในกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันอังคารว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค ของสหรัฐปรับขึ้น 0.3% ในเดือนม.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับขึ้น 0.2% ในเดือนธ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน ส่วนดัชนี CPI ทั่วไปแบบเทียบรายปีปรับขึ้น 3.1% ในเดือนม.ค. หลังจากพุ่งขึ้น 3.4% ในเดือนธ.ค.เมื่อเทียบรายปี โดยก่อนหน้านี้นักเศรษฐศาสตร์ในโพลล์รอยเตอร์คาดว่า ดัชนี CPI ทั่วไปอาจปรับขึ้นเพียง 0.2% ในเดือนม.ค.เมื่อเทียบรายเดือน และอาจปรับขึ้นเพียง 2.9% ในเดือนม.ค.เมื่อเทียบรายปี นอกจากนี้ BLS ยังรายงานในวันอังคารอีกด้วยว่า ดัชนี CPI พื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ปรับขึ้น 0.4% ในเดือนม.ค.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2023 หลังจากปรับขึ้น 0.3% ในเดือนธ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานแบบเทียบรายปีพุ่งขึ้น 3.9% ในเดือนม.ค. หลังจากทะยานขึ้น 3.9% ในเดือนธ.ค.เมื่อเทียบรายปี
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 104.86 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยแข็งค่าขึ้นจาก 104.15 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 104.96 ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 3 เดือน โดยการทะยานขึ้นของดัชนีดอลลาร์ในวันอังคารถือเป็นการทะยานขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 2 ก.พ.ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 150.79 เยนในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยพุ่งขึ้นจากระดับปิดตลาดวันจันทร์ที่ 149.34 เยน หลังจากทะยานขึ้นแตะ 150.88 เยนในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. หรือจุดสูงสุดรอบ 3 เดือน โดยการพุ่งขึ้นของดอลลาร์/เยนในวันอังคารถือเป็นการทะยานขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 1 สัปดาห์ครึ่ง ในขณะที่ดอลลาร์/เยนพุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 6% จากช่วงต้นปีนี้ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0709 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร โดยร่วงลงจาก 1.0771 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ หลังจากดิ่งลงแตะ 1.0699 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่กลางเดือนพ.ย. หรือจุดต่ำสุดรอบ 3 เดือน - ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX พุ่งขึ้นในวันอังคาร โดยได้รับแรงหนุนจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางและในยุโรปตะวันออก ในขณะที่แหล่งข่าวกล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐปฏิเสธข้อเสนอแนะของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซียสำหรับการหยุดยิงในยูเครน และนักลงทุนบางรายก็มองว่า การปฏิเสธของสหรัฐบ่งชี้ว่า จะยังไม่มีการหยุดยิงและจะยังไม่มีการทำข้อตกลงสันติภาพจนกว่ายูเครนจะได้ในสิ่งที่ต้องการ ทางด้านการเจรจาระหว่างสหรัฐ, อียิปต์, อิสราเอล และกาตาร์ในเรื่องการพักรบในเขตฉนวนกาซาก็ยุติลงโดยไม่มีความคืบหน้า ถึงแม้มีเสียงเรียกร้องมากยิ่งขึ้นให้อิสราเอลระงับแผนการโจมตีเมืองทางตอนใต้ของกาซา ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรชาวปาเลสไตน์ที่ไร้ที่อยู่อาศัยกว่า 1 ล้านคนมาหลบภัยอยู่ในตอนนี้ ทั้งนี้ หลังจากตลาด NYMEX ปิดทำการในวันอังคาร การปิโตรเลียมสหรัฐ ซึ่งเป็นหน่วยงานของเอกชน ได้เปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันสหรัฐประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 9 ก.พ. โดยระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบในคลังสหรัฐพุ่งขึ้น 8.52 ล้านบาร์เรล, สต็อกน้ำมันเบนซินในคลังสหรัฐดิ่งลง 7.23 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมัน distillate ในคลังสหรัฐรูดลง 4.02 ล้านบาร์เรล
- ตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงในวันอังคาร หลังจากสำนักงานสถิติแรงงาน ในกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันอังคารว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค ของสหรัฐปรับขึ้น 0.3% ในเดือนม.ค.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงเกินคาด ในขณะที่ค่าที่พักซึ่งครอบคลุมค่าเช่า ครองสัดส่วนสูงกว่า 2 ใน 3 ของการพุ่งขึ้นของดัชนี CPI โดยค่าที่พักพุ่งขึ้น 0.6% ในเดือนม.ค. หลังจากปรับขึ้น 0.4% ในเดือนธ.ค. โดยการปรับขึ้นของดัชนี CPI ในครั้งนี้ส่งผลให้นักลงทุนปรับลดการคาดการณ์เรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ โดยขณะนี้นักลงทุนคาดว่า มีโอกาสเพียง 36.1% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 30 เม.ย.-1 พ.ค. โดยปรับลดลงจากโอกาสราว 58% ที่เคยคาดไว้ก่อนหน้านั้น และเทรดเดอร์คาดว่า มีโอกาส 74.3% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 11-12 มิ.ย. ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนการคาดการณ์เรื่องอัตราดอกเบี้ยส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นจาก 4.170% ในช่วงท้ายวันจันทร์ สู่ 4.316% ในช่วงท้ายวันอังคาร หลังจากทะยานขึ้นแตะ 4.328% ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 2 เดือน แต่ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลลบต่อหุ้นกลุ่มที่มักได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทขนาดยักษ์ โดยหุ้นบริษัทไมโครซอฟท์, แอลฟาเบท, อะเมซอนดอทคอม และเมตา แพลตฟอร์มส์ดิ่งลง 1.6%-2.2% ในวันอังคาร ส่วนหุ้น 3 กลุ่มใหญ่ที่รูดลงมากที่สุดในวันอังคารคือหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์, หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย และหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค โดยดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ได้ดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดในรอบกว่า 2 เดือนด้วย นอกจากนี้ ดัชนีฟิลาเดลเฟียสำหรับหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐก็ดิ่งลง 2% ในวันอังคาร ในขณะที่หุ้นบริษัทไมครอน เทคโนโลยี, ควอลคอมม์ และบรอดคอมต่างก็รูดลงในวันอังคาร
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดดิ่งลง 1.35% สู่ 38,272.75 ในวันอังคาร ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงรายวันครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 22 มี.ค. 2023 หรือครั้งใหญ่ที่สุดในรอบเกือบ 11 เดือน
- ดัชนี S&P 500 ปิดดิ่งลง 1.37% สู่ 4,953.17 ในวันอังคาร หลังจากดัชนีเพิ่งทำสถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ที่ 5,026.61 ได้ในวันศุกร์ที่ 9 ก.พ.
- ดัชนี Nasdaq ปิดรูดลง 1.80% สู่ 15,655.60 ในวันอังคาร แต่ดัชนียังคงอยู่ใกล้เคียงกับสถิติระดับปิดสูงสุดที่ 16,057.44 ที่เคยทำไว้ในเดือนพ.ย. 2021 และใกล้เคียงกับสถิติสูงสุดที่ 16,212.229
- https://www.reuters.com/
Leave a Reply