Mindblown: a blog about philosophy.
-

กลยุทธ์การลงทุน GBPUSD ประจำวันที่ 25 ต.ค. 67
D1 สิ้นสุดเทรนด์ขาขึ้น Day1 ราคาปิดต่ำกว่า 1.300 H4 อยู่ในเทรนด์ขาลง เคลื่อนที่ในกรอบเทรนด์ไลน์ขาลง H4 และปรากฎสัญญาณการกับตัวยอย่างต่อเนื่อง เคลื่อนที่ลงมาทดสอบแนวรับ Demand Day H1 อยู่ในเทรนด์ขาลงเคลื่อนที่อยู่ในกรอบ Sideway ที่กรอบ 1.29874 – 1.29498 เกิดสัญญาณการกลับตัว Bearish Divergence คำแนะนำ แนวรับ 1.29480 / 1.29355 /1.29009 แนวต้าน 1.29476 / 1.30012 /1.30209
-

กลยุทธ์การลงทุน Crude Oil (WTI) ประจำวันที่ 25 ต.ค.67
D1 โครงสร้างเทรนด์ขาลง ไม่สามารถปิดเหนือราคาที่ 78.011ได้สำเร็จ และยังคงมีแรงขายระหว่างวันอย่างต่อเนื่อง H4 โครงสร้างเทรนด์ขาขึ้นระยะสั้นสิ้นสุดลง ราคาไม่สามารถผ่านช่วงกรอบ Supply (FVG H4) ที่กรอบราคา 73.620 – 72.165 ขึ้นไปได้ ประกอบกับเกิดสัญญาณ Bearish Divergence เกิดแรงเทขายอย่างต่อเนื่องและสามารถปิดราคาต่ำกว่า 70.594 มีโอกาสที่ราคาจะร่วงลงต่อได้อีก H1 โครงสร้างเทรนด์ขาขึ้นถูกทำลาย เกิดสัญญาณการกลับตัว Bearish Divergence ราคาร่วงลงปิดต่ำกว่า 70.594 มีโอกาสเกิด Quasimodo Pattern ได้ที่กรอบราคา 72.234 -71.797 คำแนะนำ แนวรับ 70.311 /69.809 / 69.572 แนวต้าน 71.384 / 72.012 / 72.38 บทวิเคราะห์ข่าว ราคาน้ำมันร่วงลงอย่างต่อเนื่อง สืบเนื่องมาจากสต์อกน้ำมันดิบสูงมากเกินขาด 5.5 M (คาดการณ์ 0.9 M…
-

ทำความเข้าใจบัญชี Cent: วิธีเริ่มต้นการเทรดด้วยเงินทุนเล็ก ๆ แต่กำไรไม่น้อย
การเทรดในตลาด Forex กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือมืออาชีพต่างก็มองหาวิธีที่จะทำกำไรในตลาดการเงินนี้ หนึ่งในวิธีที่น่าสนใจและเหมาะสมกับผู้ที่มีเงินทุนจำกัดคือการเปิด บัญชี Cent ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถเริ่มต้นการเทรดด้วยเงินทุนเล็ก ๆ แต่ยังสามารถทำกำไรได้ไม่น้อย ในบทความนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับบัญชี Cent รวมถึงวิธีการเริ่มต้นเทรดและเทคนิคสำคัญที่ช่วยให้การลงทุนในตลาด Forex ของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น บัญชี Cent คืออะไร บัญชี Cent คือประเภทของบัญชีเทรดที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถเริ่มต้นเทรดด้วยจำนวนเงินที่น้อยมาก ๆ โดยไม่ต้องเสี่ยงกับการลงทุนจำนวนมาก แต่ยังคงสามารถเข้าถึงตลาด Forex ได้เหมือนกับบัญชีเทรดแบบมาตรฐาน ความแตกต่างหลักของบัญชี Cent คือการคำนวณยอดเงินในบัญชีจะใช้หน่วย “เซนต์” แทนที่จะเป็นหน่วย “ดอลลาร์” ซึ่งทำให้คุณสามารถเทรดได้ด้วยเงินทุนเพียงไม่กี่ดอลลาร์ ข้อดีของการใช้บัญชี Cent 1. ลดความเสี่ยงในการลงทุน การเทรดด้วยบัญชี Cent ช่วยให้นักลงทุนสามารถลดความเสี่ยงได้อย่างมาก เนื่องจากเงินที่ใช้ในการเทรดเป็นจำนวนเล็กน้อย หากคุณเป็นนักเทรดมือใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ การเริ่มต้นด้วยเงินทุนน้อย ๆ ในบัญชี Cent จะช่วยลดความกดดันและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากความผิดพลาด 2. ฝึกฝนและเพิ่มความมั่นใจ บัญชี Cent ช่วยให้นักเทรดได้ฝึกฝนทักษะและเทคนิคในการเทรดอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก เมื่อคุณมีความชำนาญมากขึ้น…
-

มาร์จิ้นในการเทรด: เครื่องมือที่ช่วยเพิ่มโอกาสหรือความเสี่ยง?
การเทรดในตลาดการเงินมีหลากหลายวิธี หนึ่งในเครื่องมือที่มีความนิยมและเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากก็คือ มาร์จิ้นในการเทรด มาร์จิ้นไม่ใช่เพียงแค่ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงตำแหน่งการซื้อขายที่ใหญ่ขึ้นได้ด้วยเงินที่น้อยลง แต่ยังมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงมาก มันจึงเป็นคำถามที่สำคัญว่า มาร์จิ้นในการเทรดเป็นเครื่องมือที่เพิ่มโอกาส หรือเพียงแค่เพิ่มความเสี่ยงในการลงทุน? มาร์จิ้นในการเทรดคืออะไร? มาร์จิ้น (Margin) คือการกู้ยืมเงินเพื่อใช้ในการซื้อขายหลักทรัพย์ โดยที่นักลงทุนไม่ต้องใช้เงินของตนเองทั้งหมดในการทำธุรกรรม เมื่อนักลงทุนต้องการซื้อขายหลักทรัพย์ เช่น หุ้น พวกเขาสามารถใช้เงินมาร์จิ้นในการเข้าถึงปริมาณการลงทุนที่สูงขึ้นกว่าที่เงินทุนตนเองจะทำได้ ส่งผลให้นักลงทุนมีโอกาสทำกำไรสูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นก็สูงมากตามไปด้วย การทำงานของมาร์จิ้น: เปิดตำแหน่งการซื้อขายด้วยเงินที่กู้ยืม การทำงานของมาร์จิ้นเริ่มต้นจากการเปิดบัญชีมาร์จิ้นกับโบรกเกอร์ นักเทรดต้องฝากเงินเป็นหลักประกัน (Collateral) ซึ่งมักเรียกว่า Initial Margin จากนั้นโบรกเกอร์จะยืมเงินส่วนที่เหลือให้นักเทรดเพื่อเพิ่มขนาดของตำแหน่งการซื้อขาย สิ่งที่นักลงทุนควรทราบคือ เมื่อใช้มาร์จิ้น โอกาสทำกำไรอาจจะสูงขึ้น แต่ในทางกลับกัน ความเสียหายที่เกิดขึ้นหากการลงทุนไม่เป็นไปตามที่คาดก็จะเพิ่มขึ้นด้วย เลเวอเรจ (Leverage) กับมาร์จิ้น: ความสัมพันธ์ที่สำคัญ เลเวอเรจ (Leverage) คือสิ่งที่ช่วยให้มาร์จิ้นทำงานได้ เลเวอเรจเป็นการใช้เงินกู้ยืมจากโบรกเกอร์เพื่อเพิ่มปริมาณการลงทุน โดยอัตราส่วนเลเวอเรจมักแสดงเป็นตัวเลขเช่น 2:1, 5:1 หรือแม้แต่สูงถึง 100:1 ซึ่งหมายความว่าในอัตรา 100:1 คุณสามารถควบคุมสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงกว่าทุนที่คุณลงทุนถึง 100 เท่า ดังนั้นเลเวอเรจจึงช่วยให้มาร์จิ้นทำงานเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ในขณะเดียวกันมันก็เพิ่มความเสี่ยงทางการเงินอย่างมหาศาลเช่นกัน มาร์จิ้นเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างไร?…
-

MACD คืออะไร? อธิบายแบบง่ายๆ สำหรับมือใหม่หัดเทรด
MACD หรือ Moving Average Convergence Divergence คือหนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่นักลงทุนทั่วโลกนิยมใช้ โดยเฉพาะนักเทรดที่ต้องการศึกษาพฤติกรรมของตลาดและตัดสินใจในการซื้อขายหุ้นหรือตราสารการเงินอื่นๆ MACD นั้นสามารถช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าใจแนวโน้มของตลาดได้อย่างชัดเจนมากขึ้น โดยใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เพื่อแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม MACD คืออะไร MACD ย่อมาจาก Moving Average Convergence Divergence เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้เพื่อบ่งบอกแนวโน้มของตลาด โดยเฉพาะการบอกว่าตลาดกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด เครื่องมือนี้ถูกพัฒนาขึ้นในปี 1979 โดย Gerald Appel เพื่อใช้วัดความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองชุด ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถเห็นสัญญาณการซื้อและขายได้ง่ายขึ้น MACD ประกอบด้วยสององค์ประกอบหลัก คือ เส้น MACD และ เส้นสัญญาณ (Signal Line) โดยมีวิธีการคำนวณที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา ทำให้ MACD กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ง่ายต่อการเรียนรู้สำหรับมือใหม่ ส่วนประกอบของ MACD การจะเข้าใจ MACD อย่างลึกซึ้งนั้น ต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจส่วนประกอบหลักๆ ของมัน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่: 1. เส้น MACD…
-

ทำไมสเปรด คือปัจจัยสำคัญที่นักเทรดมือใหม่ควรเข้าใจในการเริ่มต้นซื้อขาย
การเทรดในตลาดการเงิน เช่น ตลาดฟอเร็กซ์ (Forex) หรือหุ้น อาจดูซับซ้อนและท้าทายสำหรับนักเทรดมือใหม่ หนึ่งในคำศัพท์ที่คุณอาจพบเจอและควรทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้คือ “สเปรด” สเปรดไม่เพียงแค่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการซื้อขาย แต่ยังส่งผลต่อกำไรและขาดทุนของคุณในระยะยาว หากคุณกำลังเริ่มต้นการเทรด การทำความเข้าใจสเปรดจะเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ช่วยให้คุณตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สเปรดคืออะไร สเปรดคือความแตกต่างระหว่างราคาซื้อ (Bid) และราคาขาย (Ask) ของสินทรัพย์ที่คุณต้องการซื้อขาย โดยทั่วไป ราคาซื้อคือราคาที่คุณสามารถขายสินทรัพย์ได้ และราคาขายคือราคาที่คุณสามารถซื้อได้ ความต่างของราคาทั้งสองนี้คือ “สเปรด” ซึ่งมักจะถูกวัดเป็น “pip” หรือเปอร์เซ็นต์เล็กน้อยของการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดฟอเร็กซ์ การทำความเข้าใจว่าสเปรดคืออะไรเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันส่งผลโดยตรงต่อการคำนวณกำไรและขาดทุนจากการซื้อขายของคุณ สเปรดยิ่งกว้าง (สูง) ยิ่งทำให้คุณต้องจ่ายมากขึ้นเพื่อทำกำไรในแต่ละการซื้อขาย ซึ่งหมายความว่าการเลือกคู่เงินหรือสินทรัพย์ที่มีสเปรดต่ำอาจช่วยให้คุณลดค่าใช้จ่ายในการซื้อขาย ประเภทของสเปรด นักเทรดควรทำความเข้าใจว่าสเปรดมีอยู่สองประเภทหลัก: ทำไมสเปรดถึงสำคัญสำหรับนักเทรดมือใหม่ สำหรับนักเทรดมือใหม่ การทำความเข้าใจสเปรดเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะสเปรดเป็นค่าใช้จ่ายพื้นฐานในการทำธุรกรรม หากไม่รู้จักคำนวณค่าใช้จ่ายเหล่านี้ คุณอาจประสบปัญหากับการทำกำไร นอกจากนี้ การรู้ว่าสเปรดส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อขายของคุณยังช่วยให้คุณสามารถเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมและบริหารจัดการความเสี่ยงได้ดีขึ้น สเปรดต่ำกับกลยุทธ์การซื้อขายสั้นๆ หากคุณเป็นนักเทรดที่ชื่นชอบการซื้อขายแบบสั้นๆ (Scalping) การมองหาสินทรัพย์ที่มีสเปรดต่ำจะช่วยให้คุณทำกำไรได้มากขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ เนื่องจากคุณไม่ต้องจ่ายค่าสเปรดที่มากเกินไปในแต่ละครั้งที่คุณเปิดหรือปิดตำแหน่ง สเปรดสูงกับการซื้อขายระยะยาว ในขณะที่การซื้อขายแบบระยะสั้นอาจต้องการสเปรดต่ำ การซื้อขายระยะยาว (Position Trading) อาจจะไม่ต้องกังวลกับสเปรดมากเท่าใดนัก เนื่องจากเป้าหมายของคุณคือการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในระยะยาว ปัจจัยที่มีผลต่อสเปรด…
-

Pullback คือสัญญาณการซื้อขายที่ดีหรือไม่? มาค้นหาคำตอบกัน!
Pullback เป็นหนึ่งในเทคนิคที่นักลงทุนและเทรดเดอร์ใช้เพื่อพิจารณาโอกาสในการเข้าสู่ตลาดหรือการทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์. แต่คำถามที่น่าสนใจคือ Pullback คือสัญญาณการซื้อขายที่ดีหรือไม่? บทความนี้จะพาคุณไปค้นหาคำตอบ พร้อมทั้งเรียนรู้วิธีใช้ Pullback อย่างมีประสิทธิภาพในการเทรด. Pullback คืออะไร? Pullback หมายถึงการเคลื่อนไหวของราคาที่เป็นการปรับตัวลดลงหรือพักตัวของสินทรัพย์ภายในแนวโน้มหลัก (Uptrend หรือ Downtrend). กล่าวง่ายๆ คือ เมื่อราคาเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว ราคาจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่ “ถอยกลับ” เพื่อปรับสมดุลก่อนที่จะกลับไปเคลื่อนไหวตามแนวโน้มเดิม. ตัวอย่างของ Pullback ในกราฟราคา เมื่อเราดูกราฟของสินทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นหุ้น, ฟอเร็กซ์ หรือคริปโตเคอร์เรนซี่ เราจะพบเห็นได้บ่อยๆ ว่าหลังจากราคาพุ่งขึ้นแรง ๆ มักจะมีการถอยลงเล็กน้อยก่อนที่จะวิ่งขึ้นต่อ. การถอยลงนี้เรียกว่า Pullback. Pullback กับการเทรดแบบ Trend Following นักเทรดที่ใช้กลยุทธ์ “Trend Following” จะมองหาโอกาสในการเข้าสู่ตลาดเมื่อเกิด Pullback โดยใช้ Pullback เป็นจุดเริ่มต้นเพื่อเทรดตามแนวโน้มหลักของตลาด. แนวคิดนี้เชื่อว่าหลังจากการพักตัวของราคา ราคาจะกลับมาเดินตามแนวโน้มเดิม ซึ่งหากเราเข้าสู่ตลาดในช่วง Pullback เราจะมีโอกาสทำกำไรได้มากขึ้น. ทำไม Pullback จึงเป็นสัญญาณที่นิยม? Pullback…
-

Fibonacci คืออะไร? วิธีการใช้ Fibonacci ในการเทรดเพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไร
Fibo คือ หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่เทรดเดอร์ใช้ในการวิเคราะห์ตลาดการเงิน ทั้งการซื้อขายหุ้น ฟอเร็กซ์ และสินทรัพย์ดิจิทัลต่างๆ หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า Fibonacci แต่ไม่เข้าใจแน่ชัดว่ามันคืออะไรและทำไมถึงมีความสำคัญต่อการเทรด ในบทความนี้เราจะมาเจาะลึกถึงความหมายของ Fibonacci และวิธีการนำไปใช้ในการวิเคราะห์ตลาด เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไรในการเทรดของคุณ Fibonacci คืออะไร? Fibonacci เป็นชื่อของลำดับตัวเลขที่มีความสำคัญทางคณิตศาสตร์ซึ่งถูกคิดค้นโดยนักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลีชื่อว่า Leonardo Fibonacci ในศตวรรษที่ 13 ลำดับนี้เกิดจากการนำผลรวมของตัวเลขสองตัวหน้ามาบวกกัน เช่น 0, 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13 และต่อไปเรื่อยๆ ลำดับนี้ยังถูกใช้ในหลากหลายสาขา เช่น วิทยาศาสตร์ สถาปัตยกรรม และดนตรี รวมถึงการวิเคราะห์การเทรด ทำไม Fibonacci ถึงมีความสำคัญในตลาดการเงิน? Fibonacci ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในตลาดการเงินเพื่อค้นหาจุดสำคัญในการเทรด เช่น แนวรับและแนวต้าน เครื่องมือ Fibonacci Retracement และ Fibonacci Extension ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเทรดเดอร์ในการคาดการณ์การกลับตัวของราคาในตลาด หรือหาจุดที่ราคาอาจเคลื่อนที่ต่อไปหลังจากการปรับฐาน วิธีการใช้ Fibonacci…
-

อัตราดอกเบี้ยมีผลอย่างไรต่อการเทรด: ปัจจัยสำคัญที่เทรดเดอร์ไม่ควรมองข้าม
การเทรดเป็นกิจกรรมที่ต้องอาศัยการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ เพื่อสร้างกลยุทธ์ที่เหมาะสม หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เทรดเดอร์ไม่ควรมองข้ามคือ “อัตราดอกเบี้ย” ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อตลาดและการตัดสินใจของเทรดเดอร์ การเข้าใจถึงบทบาทและผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อัตราดอกเบี้ยมีผลอย่างไรต่อการเทรด อัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ธนาคารกลางใช้ในการควบคุมสภาพเศรษฐกิจ เมื่อธนาคารกลางปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นหรือลง จะส่งผลต่อพฤติกรรมการลงทุนและการซื้อขายของนักลงทุนในตลาดการเงิน โดยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นมักจะทำให้การกู้ยืมมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยต่ำจะกระตุ้นให้การกู้ยืมมีค่าใช้จ่ายต่ำลง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเคลื่อนไหวของตลาด ทำไมเทรดเดอร์ต้องสนใจอัตราดอกเบี้ย การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยเป็นตัวบ่งชี้ถึงทิศทางของเศรษฐกิจ หากอัตราดอกเบี้ยสูง นักลงทุนอาจเลือกที่จะย้ายเงินลงทุนจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หุ้น ไปยังสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่มั่นคงกว่า เช่น พันธบัตร ซึ่งมีความปลอดภัยสูงกว่า นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยยังมีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เนื่องจากเงินทุนจะเคลื่อนย้ายไปยังประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าเพื่อรับผลตอบแทนที่มากขึ้น ปัจจัยที่อัตราดอกเบี้ยมีผลต่อตลาด มูลค่าของเงินตรา:เมื่ออัตราดอกเบี้ยในประเทศหนึ่งสูงขึ้น นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในสกุลเงินนั้นๆ มากขึ้น ทำให้ค่าเงินแข็งตัว ซึ่งมีผลต่อการส่งออกและนำเข้า ตลาดพันธบัตร:อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ราคาพันธบัตรลดลง เนื่องจากพันธบัตรที่ออกมาก่อนหน้านั้นให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าพันธบัตรที่ออกใหม่ ส่งผลให้ความต้องการพันธบัตรลดลง ตลาดหุ้น:เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทจะสูงขึ้น ทำให้การลงทุนในโครงการใหม่ลดลง ซึ่งมีผลต่อกำไรและท้ายที่สุดอาจส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลง ตัวอย่างตลาดที่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย ตลาดหุ้น:เมื่อต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น การลงทุนและการขยายกิจการของบริษัทจะลดลง ซึ่งส่งผลให้ผลประกอบการลดลงและราคาหุ้นปรับตัวลดลง ตลาดเงินตราต่างประเทศ (Forex):การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศหนึ่งอาจทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นแข็งค่าขึ้น เนื่องจากนักลงทุนจะย้ายเงินลงทุนเข้ามายังสกุลเงินนั้นเพื่อหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น ตลาดทองคำ:ทองคำไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ย ดังนั้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น นักลงทุนมักจะย้ายเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่น พันธบัตร ซึ่งทำให้ความต้องการทองคำลดลงและราคาลดตาม วิธีที่เทรดเดอร์สามารถใช้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ย ปรับพอร์ตการลงทุนตามการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย:เมื่ออัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เทรดเดอร์อาจพิจารณาลดการลงทุนในหุ้นและเปลี่ยนไปถือพันธบัตรหรือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าแทน…
-

Breakout คืออะไร? รู้จักกับกลยุทธ์การลงทุนที่ทำกำไรได้จริง
การลงทุนในตลาดการเงินเป็นเรื่องที่ต้องใช้กลยุทธ์เพื่อทำกำไรอย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในเทคนิคที่นักลงทุนหลายคนใช้คือ Breakout ซึ่งเป็นสัญญาณที่ช่วยให้เราทราบว่าราคาของสินทรัพย์มีแนวโน้มจะเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญ ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับ Breakout คืออะไร และวิธีการใช้กลยุทธ์นี้เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจริง ๆ ได้อย่างไร Breakout คืออะไร? Breakout ในบริบทของตลาดการเงิน หมายถึงการที่ราคาของสินทรัพย์ (หุ้น, คริปโต, สินค้าโภคภัณฑ์ ฯลฯ) เคลื่อนที่ผ่านแนวรับ (Support) หรือแนวต้าน (Resistance) ที่เคยทำให้ราคานั้นหยุดนิ่งหรือเคลื่อนไหวในกรอบแคบมาก่อนหน้านี้ การทะลุผ่านระดับเหล่านี้มักเป็นสัญญาณว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทิศทางของราคา ซึ่งนักลงทุนสามารถใช้โอกาสนี้ในการซื้อหรือขายเพื่อทำกำไร การทำงานของ Breakout ในตลาดการเงิน Breakout เกิดขึ้นเมื่อมีแรงซื้อหรือแรงขายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ราคาพุ่งทะลุระดับสำคัญไป แนวรับและแนวต้านเป็นจุดที่นักลงทุนหลายคนจับตามองเพื่อดูว่าเมื่อไรราคาจะทะลุผ่าน หากราคาทะลุแนวต้านขึ้นไปได้ นักลงทุนมักมองว่าเป็นโอกาสซื้อ แต่หากทะลุแนวรับลงไป ก็เป็นสัญญาณที่นักลงทุนอาจใช้ในการขายหรือเปิดสถานะขาย (Short Selling) ประเภทของ Breakout 1. Breakout ขึ้น (Bullish Breakout) เป็นการที่ราคาทะลุผ่านแนวต้าน ซึ่งมักบ่งบอกถึงแนวโน้มขาขึ้นที่จะตามมา นักลงทุนจะใช้โอกาสนี้ในการเข้าซื้อเพื่อทำกำไรในระยะต่อไป 2. Breakout ลง (Bearish Breakout)…
Got any book recommendations?