Mindblown: a blog about philosophy.
-
กลยุทธ์การลงทุน Crude Oil (WTI) ประจำวันที่ 18 พ.ย.2567
Week / Day ราคาปิดอาทิตย์ทีแล้ว ด้วยแท่งแดงเต็มแท่ง (Marubozu Close Bearish) แรงขายยังคงมีอย่างต่อเนื่องตลอดอาทิตย์ ราคงลงมาทดสอบที่แนวรับ day ที่กรอบราคา 67.184 -66.618 เริ่มปรากฎสัญญาณกลับตัว Bearish Divergence (MACD) แต่ไม่แนะนำให้เข้าซื้อ เพราะสัญญาณอาจถูกทำลายได้หากวันนี้ปิดจบด้วยแท่ง Bearish H4 โครงสร้างเป็นเทรนด์ขาลง มีการเคลื่อนที่ในกรอบ Sideway Down ที่กรอบราคา 69.268 -66.873 ปรากฎสัญญาณการกลับตัว Bullish Divergence (RSI + MACD)ราคามีปรับตัวสูงขึ้นทันทีที่ลงมาแตะระดับ H1 ราคาเคลื่อนที่ในกรอบ Sideway Down ราคามีการหลุดกรอบไซด์เวย์เดิม 69.244 -67.475 เช้านี้ปรากฎสัญญาณ Bullish Divergence (Macd + RSI) ราคาเคลื่อนที่ใกล้จุดเคลียรสัญญาณ ซึงหากราคาไม่สามารถกลับเข้ากรอบไซด์เวย์ 69.244 -67.475 ได้ มีโอกาสที่จะร่วงกลับไปจุดเดิม แนะนำ…
-
CHFJPY: การวิเคราะห์เชิงเทคนิคหลังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจาก BOJ ในปี 2024
ในปี 2024 ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มสภาพคล่องในตลาดการเงิน การเคลื่อนไหวนี้ได้สร้างผลกระทบสำคัญต่อตลาดเงินตราระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่เงิน CHFJPY ที่มีความผันผวนสูง บทความนี้จะนำเสนอการวิเคราะห์เชิงเทคนิคของคู่เงินดังกล่าว รวมถึงแนวโน้มและกลยุทธ์การลงทุนที่ควรพิจารณา ความสำคัญของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจาก BOJ ต่อคู่เงิน CHFJPY ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นนโยบายที่ BOJ ใช้เพื่อตอบสนองต่อภาวะเงินฝืดและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การลดอัตราดอกเบี้ยทำให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อคู่เงิน CHFJPY โดยเพิ่มความน่าสนใจในฝั่งของฟรังก์สวิสที่มีบทบาทเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย การวิเคราะห์เชิงเทคนิคของคู่เงิน CHFJPY แนวรับและแนวต้านสำคัญ ในการวิเคราะห์เชิงเทคนิค แนวรับและแนวต้านเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการพิจารณาทิศทางราคา ปัจจุบัน แนวรับที่สำคัญของ CHFJPY อยู่ที่ระดับ 150.50 และแนวต้านอยู่ที่ประมาณ 153.30 หากราคาสามารถทะลุแนวต้านนี้ไปได้ มีโอกาสที่จะเห็นการเคลื่อนไหวขึ้นต่อเนื่อง ดัชนี RSI และ MACD ในการพยากรณ์ราคา การใช้ดัชนีความแข็งแรงสัมพัทธ์ (RSI) เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยบ่งบอกถึงภาวะการซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป ปัจจุบัน RSI ของ CHFJPY อยู่ที่ระดับประมาณ 65 แสดงถึงแนวโน้มการซื้อที่เริ่มมีแรงผลักดัน นอกจากนี้ MACD…
-
Fed คืออะไร? บทบาทและหน้าที่ของธนาคารกลางสหรัฐในปี 2025
ธนาคารกลางสหรัฐ หรือที่รู้จักในชื่อ “Fed” มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจสหรัฐและเป็นส่วนสำคัญในเศรษฐกิจโลก บทบาทที่สำคัญของ Fed ในปี 2025 จะยังคงเน้นไปที่การจัดการนโยบายการเงินเพื่อส่งเสริมการจ้างงานและรักษาราคาที่เสถียร นอกจากนี้ยังต้องรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจในยุคที่มีความผันผวนและความเสี่ยงทางการเงินสูงขึ้น มาเรียนรู้เพิ่มเติมถึงบทบาทหน้าที่ของ Fed ที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจในอนาคตกัน Fed คืออะไร? ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เป็นสถาบันที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยมีเป้าหมายหลักในการส่งเสริมการจ้างงานสูงสุด รักษาระดับราคาให้มั่นคง และควบคุมอัตราดอกเบี้ยให้มีความเหมาะสม ความสำคัญของ Fed ยังรวมไปถึงการดูแลระบบการเงิน การควบคุมสถาบันการเงิน การให้บริการทางการเงินแก่รัฐบาลกลาง และการเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาและรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินสหรัฐ หน้าที่และบทบาทของ Fed ในปี 2025 นโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ หนึ่งในหน้าที่สำคัญของ Fed คือการกำหนดนโยบายการเงินซึ่งรวมถึงการควบคุมอัตราดอกเบี้ยและการกำหนดอัตราส่วนสำรองเพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ การตัดสินใจปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed มีผลโดยตรงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ การลงทุน และการใช้จ่ายของประชาชน ในปี 2025 Fed ยังคงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการจ้างงานสูงสุดโดยการสร้างสภาวะที่เอื้อต่อการจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจ การเพิ่มโอกาสในการทำงานช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตและเพิ่มความมั่นคงของครัวเรือน ทำให้การบริโภคในระบบเศรษฐกิจขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง การควบคุมอัตราเงินเฟ้อเป็นหนึ่งในบทบาทหลักที่สำคัญ Fed จะกำหนดนโยบายเพื่อควบคุมไม่ให้ราคาสินค้าและบริการเพิ่มสูงเกินไป อัตราเงินเฟ้อที่สูงสามารถลดกำลังซื้อของประชาชนและส่งผลต่อการวางแผนทางการเงินในระยะยาว ดังนั้น การรักษาเสถียรภาพราคาจะเป็นการป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย Fed มีบทบาทในการควบคุมดูแลสถาบันการเงิน เช่น…
-
หลักการ Dow Theory เครื่องมือวิเคราะห์ที่ทรงพลังสำหรับเทรดเดอร์ปี 2025
Dow Theory เป็นทฤษฎีการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายและเป็นรากฐานของการศึกษาตลาดหุ้นและการเคลื่อนไหวของราคา โดยทฤษฎีนี้เกิดขึ้นจาก Charles Henry Dow ซึ่งแนะนำว่าตลาดสะท้อนข้อมูลทั้งหมดที่มีผลต่อราคาอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ Dow Theory ยังชี้ว่าแนวโน้มหลักมักประกอบด้วย 3 ระยะสำคัญ คือ ระยะการสะสม (Accumulation) ระยะเกิดแนวโน้ม (Participation) และระยะการกระจาย (Distribution) ในปี 2025 Dow Theory ยังคงเป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับการวิเคราะห์กราฟและเหมาะกับนักลงทุนที่สนใจทั้งตลาดหุ้นและตลาดคริปโต Dow Theory: เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่นักลงทุนต้องรู้จัก Dow Theory เป็นทฤษฎีการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญในโลกการเงินและได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย โดย Charles Henry Dow ผู้ก่อตั้ง ได้วางรากฐานความเข้าใจเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาที่สะท้อนข้อมูลทุกอย่างในตลาด รวมถึงแนวโน้มราคาที่เกิดขึ้นเป็นระยะในตลาดหุ้นและคริปโต ในปี 2025 นี้ นักลงทุนยังคงสามารถใช้ Dow Theory เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการวิเคราะห์แนวโน้มราคาและการเคลื่อนไหวของตลาด ความสำคัญของ Dow Theory ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค การทำความเข้าใจ Dow Theory จะช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มในตลาดได้ดียิ่งขึ้น โดย…
-
5 ขั้นตอนการวิเคราะห์คลื่น Elliott Wave เพื่อการเทรดที่มีประสิทธิภาพ
ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับทฤษฎีคลื่น Elliott Wave ทฤษฎีคลื่น Elliott Wave หรือ “Elliott Wave Theory” คือแนวคิดที่ใช้ในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาในตลาดการเงิน โดยเชื่อว่าราคาจะเคลื่อนไหวในรูปแบบคลื่นซ้ำๆ ที่ประกอบด้วย “คลื่นเร่ง” 5 คลื่นในทิศทางเดียวกับเทรนด์หลัก และ “คลื่นปรับ” 3 คลื่นในทิศทางตรงข้ามกับเทรนด์หลัก การเข้าใจรูปแบบคลื่นเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนคาดการณ์ทิศทางตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ขั้นตอนที่ 1: ระบุรูปแบบคลื่น การเริ่มต้นวิเคราะห์คลื่นเอลเลียตจำเป็นต้องรู้จักรูปแบบหลัก 2 ประเภท ได้แก่ คลื่นเร่ง (Motive Wave) ซึ่งประกอบด้วย 5 คลื่น และ คลื่นปรับ (Corrective Wave) ที่ประกอบด้วย 3 คลื่น ซึ่งทั้งสองรูปแบบนี้ช่วยให้เราวิเคราะห์แนวโน้มและจุดกลับตัวของราคาได้ ขั้นตอนที่ 2: การนับคลื่นตามโครงสร้าง 5-3 เมื่อระบุรูปแบบได้แล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการนับคลื่นตามโครงสร้างที่เป็นลักษณะ 5-3 ของทฤษฎีเอลเลียต การนับคลื่นช่วยให้มองเห็นภาพรวมของแนวโน้มและช่วยให้เราทำนายช่วงที่ตลาดจะเกิดการกลับตัวได้ ขั้นตอนที่ 3: วิเคราะห์การปรับตัวของคลื่นด้วยฟีโบนัชชี การใช้…
-
FOMC คืออะไร ทำไมเทรดเดอร์ต้องให้ความสำคัญกับการประชุมนี้?
FOMC หรือ Federal Open Market Committee คือคณะกรรมการของธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) ที่มีหน้าที่ในการกำหนดนโยบายการเงิน ซึ่งรวมถึงการควบคุมอัตราดอกเบี้ยและการปรับปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ การประชุมของ FOMC จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดการเงิน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจของเทรดเดอร์ทั่วโลก บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักว่า FOMC คืออะไร ทำไมการประชุมนี้ถึงมีผลต่อตลาด และเทรดเดอร์ควรเตรียมตัวอย่างไรเพื่อใช้ข้อมูลในการวางแผนการลงทุน FOMC คืออะไร? FOMC หรือคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ FOMC ย่อมาจาก Federal Open Market Committee ซึ่งเป็นคณะกรรมการของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่ทำหน้าที่กำหนดทิศทางนโยบายการเงินของประเทศ โดยเฉพาะการควบคุมอัตราดอกเบี้ยและการดำเนินนโยบายการเงินแบบเปิด (Open Market Operations) ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมและการเคลื่อนไหวของตลาดการเงิน บทบาทของ FOMC ในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยเป็นหนึ่งในเครื่องมือหลักที่ FOMC ใช้เพื่อควบคุมเศรษฐกิจ เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการลงทุนในช่วงเศรษฐกิจซบเซา หรือลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจในช่วงที่มีภาวะเงินเฟ้อ การตัดสินใจเหล่านี้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน การลงทุนในตลาดทุน และภาคธุรกิจ ทำไมการประชุม FOMC ถึงมีผลต่อตลาดการเงิน? การประชุม FOMC…
-
จับตาการเคลื่อนไหวของ GBPAUD: ผลกระทบจากรายงาน GDP ล่าสุดของออสเตรเลียและสหราชอาณาจักร
ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกถึงคู่เงิน GBPAUD ซึ่งเป็นคู่เงินระหว่างปอนด์สเตอร์ลิง (GBP) และดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) โดยมุ่งเน้นการวิเคราะห์ที่เกิดขึ้นจากรายงาน GDP ล่าสุดของทั้งสองประเทศ รวมถึงผลกระทบที่สำคัญต่อทิศทางและการเคลื่อนไหวของคู่เงินนี้ ภาพรวมของคู่เงิน GBPAUD GBPAUD คืออะไร GBPAUD เป็นคู่สกุลเงินระหว่างปอนด์ของสหราชอาณาจักรและดอลลาร์ออสเตรเลีย ซึ่งได้รับความนิยมในตลาดฟอเร็กซ์ โดยเฉพาะในกลุ่มนักเทรดที่มุ่งหวังในการทำกำไรจากความผันผวนของค่าเงินสองสกุลนี้ การวิเคราะห์พื้นฐานคู่เงิน GBPAUD ปัจจัยพื้นฐานเช่นนโยบายการเงิน อัตราดอกเบี้ย และข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอย่าง GDP ของทั้งสหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาคู่เงินนี้อย่างมีนัยสำคัญ ผลกระทบจากรายงาน GDP ของออสเตรเลียและสหราชอาณาจักร รายงาน GDP ของออสเตรเลีย ภาพรวมเศรษฐกิจออสเตรเลีย GDP ของออสเตรเลียเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญที่บ่งบอกถึงสุขภาพทางเศรษฐกิจ โดยหาก GDP ของประเทศเติบโตในอัตราที่สูง จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ AUD แข็งค่าขึ้น ผลกระทบของ GDP ออสเตรเลียต่อค่าเงิน AUD ตัวเลข GDP ที่สูงกว่าคาดการณ์จะส่งผลให้ค่าเงิน AUD แข็งค่า เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจ ขณะที่ตัวเลขที่ต่ำกว่าคาดจะส่งผลในทางตรงกันข้าม รายงาน GDP…
-
ปัจจัยขับเคลื่อน GBPJPY: ความเชื่อมโยงระหว่างเศรษฐกิจอังกฤษและญี่ปุ่น
คู่เงิน GBPJPY ซึ่งประกอบด้วยปอนด์สเตอร์ลิงอังกฤษ (GBP) และเยนญี่ปุ่น (JPY) เป็นหนึ่งในคู่เงินที่ได้รับความสนใจสูงในตลาดฟอเร็กซ์ เนื่องจากมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับเศรษฐกิจสองประเทศที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง บทความนี้จะพิจารณาปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนอัตราแลกเปลี่ยนของ GBPJPY ซึ่งมีทั้งปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของทั้งสองฝ่าย ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีผลต่อ GBPJPY การเคลื่อนไหวของคู่เงิน GBPJPY นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจหลายประการในทั้งสองประเทศ การวิเคราะห์ปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าทำไม GBPJPY ถึงมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงเวลา 1. ดัชนี GDP และการเติบโตทางเศรษฐกิจ ดัชนี GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญสำหรับทั้งสองประเทศ หากเศรษฐกิจของอังกฤษเติบโตสูงเมื่อเทียบกับญี่ปุ่น ค่าเงิน GBP มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับ JPY ตรงกันข้ามหากเศรษฐกิจญี่ปุ่นแข็งแกร่งขึ้น ค่าเงินเยนอาจได้รับอิทธิพลและส่งผลให้ GBPJPY ปรับตัวลดลง 2. อัตราเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้อเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีอิทธิพลสูงต่อคู่เงิน GBPJPY การเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อทั้งในญี่ปุ่นและอังกฤษสามารถทำให้คู่เงินนี้ปรับตัวได้ทันที เช่น เมื่ออัตราเงินเฟ้อในญี่ปุ่นต่ำกว่าอังกฤษ ผู้ลงทุนอาจเลือกใช้ GBP ในการลงทุนมากขึ้น ส่งผลให้ GBP แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับ JPY นโยบายการเงินและผลกระทบที่มีต่อ GBPJPY ธนาคารกลางของทั้งสองประเทศมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายการเงินที่ส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนของ GBPJPY…
-
เปรียบเทียบการใช้ Price Action กับ Indicator อะไรเหมาะกับคุณ?
ความหมายของ Price Action และ indicator ตัวชี้วัดทางเทคนิค การวิเคราะห์ Price Action และการใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิคเป็นสองวิธีที่ได้รับความนิยมในการเทรด นักลงทุนมักใช้เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมของตลาดและคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต แต่ทั้งสองมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ซึ่งนักเทรดควรเข้าใจเพื่อเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของตนเอง Price Action คืออะไร? Price Action เป็นการวิเคราะห์พฤติกรรมของราคาโดยไม่ใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิคที่ซับซ้อน นักเทรดจะใช้ข้อมูลจากกราฟราคาเพื่อตัดสินใจ โดยดูรูปแบบของแท่งเทียน แนวรับ-แนวต้าน และการเปลี่ยนแปลงของราคาในช่วงต่าง ๆ เพื่อหาจุดเข้าและออกที่เหมาะสม ข้อดีของการใช้ Price Action ตัวชี้วัดทางเทคนิค ( indicator ) คืออะไร? ตัวชี้วัดทางเทคนิค (Technical Indicators) เป็นเครื่องมือที่นักเทรดใช้เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลราคาในอดีตและคาดการณ์แนวโน้มอนาคต เช่น Moving Averages, RSI และ MACD โดยเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้นักเทรดเห็นแนวโน้มของตลาดอย่างชัดเจน ข้อดีของการใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิค ( indicator ) เปรียบเทียบการใช้ Price Action กับตัวชี้วัดทางเทคนิค ความเรียบง่ายและความยืดหยุ่น Price Action…
-
4 ขั้นตอนการตั้งค่า Risk Reward Ratio ในการเทรดอย่างมืออาชีพ
การตั้งค่าอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk Reward Ratio) หรือ RR คือ ปัจจัยสำคัญในการบริหารความเสี่ยงและการวางแผนการเทรดที่มีประสิทธิภาพ การตั้งค่าอย่างถูกต้องช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น บทความนี้จะแนะนำ 4 ขั้นตอนในการตั้งค่า Risk Reward Ratio ให้เหมาะสมสำหรับเทรดเดอร์ทั้งมือใหม่และมืออาชีพ การทำความเข้าใจเบื้องต้นว่า RR คืออะไร RR คือ อัตราส่วนที่ใช้ในการประเมินความคุ้มค่าของการลงทุน โดยเปรียบเทียบระหว่างความเสี่ยงที่จะเสียกับผลตอบแทนที่คาดหวัง ตัวอย่างเช่น ถ้าอัตราส่วนคือ 1:3 หมายความว่าเสี่ยงเสีย 1 หน่วยเพื่อคาดหวังได้ผลตอบแทน 3 หน่วย การตั้งค่าอัตราส่วนที่เหมาะสมเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จในระยะยาว ขั้นตอนที่ 1: วิเคราะห์ตลาดและกำหนดจุดเข้าออก ศึกษาตลาดและแนวโน้ม: การวิเคราะห์แนวโน้มช่วยให้คุณเข้าใจภาพรวมของตลาดและระบุทิศทางการเคลื่อนไหวของราคา กำหนดจุดเข้าและจุดออกที่ชัดเจน: การเลือกจุดเข้าและออกที่แม่นยำช่วยให้สามารถคำนวณ Risk Reward Ratio ได้ถูกต้อง ใช้เครื่องมือทางเทคนิค: เช่น เส้นแนวรับแนวต้าน (Support and Resistance) เพื่อช่วยในการตั้งจุดเข้าออก ขั้นตอนที่ 2: คำนวณอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน วิธีการคำนวณ…
Got any book recommendations?