Day วานนี้ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นบริเวณแนวรับที่ให้ไว้ กรอบ 57.839-58.447 (ตามคาด) ราคาขึ้นไปทดสอบกรอบแนวต้นที่ให้ไว้กรอบ 59.050-59.495 ก่อนปรับตัวร่วงลง (ตามคาด) ปิดแท่ง Bearish Doji ก่อนจะดีดตัวขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ ตลาดประเมิน มาตรการคว่ําบาตรรัสเซียที่เข้มงวดของสหรัฐ จะช่วยชดเชยภาวะอุปทานล้นที่กําลังจะเกิดขึ้น
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส (WTI) ปิดที่ระดับ 58.49 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 4.18%
ราคาน้ำมันได้รับแรงหนุน จากมาตราการควำ่บาตร สหรัฐ- รัสเซีย … ปัจจัยบวกต่อน้ำมัน
- กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ประกาศมาตรการคว่ําบาตรต่อRosneft และ Lukoil ของรัสเซียในช่วงปลายเดือนตุลาคม ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน
- โดย ประกาศให้ Rosneft และ Lukoil รวมทั้งบริษัทย่อย (ซึ่งบริษัท‑แม่ถือหุ้นโดยตรงหรืออ้อมมากกว่า 50 %) เป็น “บุคคลที่ถูกบล็อก” (Specially Designated Nationals – SDNs) ภายใต้คำสั่งบริหาร (Executive Order) 14024 ของสหรัฐ / OFAC ออก “General Licenses” (อนุญาตทั่วไป) จำนวนหลายฉบับ เพื่อให้มี “ช่วงเวลาเตรียมการ” (wind‑down / transition) สำหรับธุรกรรมกับบริษัทดังกล่าว โดยมีวันสิ้นสุดช่วงเวลาอนุญาตคือ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2025
- หลังจากวันสิ้นสุดวันดังกล่าว (21 พ.ย.) ธุรกรรมใหม่หรือการขยายธุรกิจใหม่กับ Rosneft/Lukoil จะมีความเสี่ยงถูกคว่ำบาตรเต็มรูปแบบ (ไม่มีช่วง wind‑down)
- บริษัท Lukoil International ซึ่งเป็นแขนธุรกิจต่างประเทศของ Lukoil กำลังอยู่ในช่วงขายสินทรัพย์ต่างต่างประเทศ จากมาตรการนี้ / การบังคับใช้จริงและการบังคับตามมาตรการของต่างประเทศ (เช่น สหราชอาณาจักร UK / สหภาพยุโรป EU) จะมีบทบาทสำคัญมาก โดย EU และ UK ได้ดำเนินมาตรการที่คล้ายกันกับบริษัทเหล่านี้แล้ว ธนาคารและสถาบันการเงินนอกสหรัฐฯ ที่จะร่วมธุรกรรมกับบริษัทเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อ “secondary sanctions” – หมายถึงถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐฯ แม้ไม่ใช่ฝ่ายโดยตรง
รายงาน OPEC ระบุว่า อุปทานน้ำมันดิบล้นตลาด ในปี 2026 .. ปัจจัยกดดัน ราคาน้ำมัน
- 13 พ.ย. รายงานล่าสุดของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ระบุว่า ตลาดน้ำมันโลกกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ภาวะอุปทานส่วนเกินครั้งใหญ่ในปีหน้า โดยอาจสูงถึง 4.09 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) จากการเร่งเพิ่มกำลังการผลิตของ OPEC+ และผู้ผลิตรายอื่น ขณะที่การเติบโตของอุปสงค์ชะลอตัวลง โดยส่วนเกินระดับ 4.09 ล้านบาร์เรลต่อวัน คิดเป็นเกือบ 4% ของความต้องการน้ำมันทั่วโลก และสูงกว่าประมาณการของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนความเสี่ยงว่าแนวโน้มตลาดกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะอุปทานล้นอย่างชัดเจน
- 11 พ.ย. รายงาน OPEC ประจำปี ะบุว่า อุปทานน้ำมันดิบทั่วโลกในปี 2026 จะล้นตลาดเล็กน้อย ซึ่งถือเป็นการปรับมุมมองครั้งสำคัญจากเดิมที่คาดว่าจะเกิดภาวะอุปทานตึงตัว
- อันเป็นผลจากการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ ประกอบกับการผลิตที่สูงขึ้นจากผู้ผลิตนอกกลุ่ม นับเป็นการปรับมุมมองครั้งสำคัญจากที่เคยคาดว่าจะมีภาวะขาดแคลน โดยกลุ่ม OPEC+ ผลิตน้ำมันเฉลี่ย 43.02 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนต.ค. ลดลง 73,000 บาร์เรล/วันจากเดือนก.ย. แม้จะมีข้อตกลงเพิ่มกำลังการผลิต โดยการลดลงส่วนใหญ่เกิดจากคาซัคสถาน
- ความต้องการน้ำมันของ OPEC+ ที่คาดไว้ในปี 2026 อยู่ที่ 43.0 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งหมายความว่า หากกลุ่มยังคงผลิตในระดับเดือนต.ค. ตลาดโลกจะมีอุปทานส่วนเกินราว 20,000 บาร์เรล/วัน
H4/H1 เข้านี้ราคาพยายามดีดขึ้นมา เหนือกรอบ Channel Downtrend Day แต่ทำได้ เพียง ทดสอบแนวต้านที่ 60.642 ปรับตัวร่วงลง กลับเข้ามาใน Channel Downtrend เหมือน ทั้้งนี้หากราคาสามารถยืนเหนือ 61.212 จะถือเป้นการสิ้นสุดโครงสร้างเทรนด์ขาลง
คำแนะนำ
- เปิดสถานซื้อ (รอสัญญาณขาย) ที่กรอบ 59.050-59.495 / SL 59.050 เพื่อทำกำไร 59.633/59.757/59.880/89.935/60.033/60.280
- เปิดสถานขาย (รอสัญญาณขาย) ที่กรอบ 58.083-58.373 / SL 58.000 เพื่อทำกำไร 58.0586/58.800/59.49/59.233/59.353/59.457/59.757/59.880
แนวรับ 58.098/57.335/56.763
แนวต้าน 60.642/61.212/61.890

ปฏิทินข่าว 14 พ.ย.2568

บทวิเคราะห์ข่าว
- ปริมาณนำมันดิบคงคลัง เพิ่ม 6.4 ล้านบาร์เรล แต่่ยังอยุ่ระดับต่ำกว่ ค่าเฉลี่ย 5 ปี บ่งชี้การอุปทานเกิน อาจสะท้อนความต้องการใช้น้ำมันที่อ่อนแอ ปัจจัยกดดันราคาำน้ำมัน

Leave a Reply