ราคา Gold ทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 5.90 ดอลลาร์ สู่ 2,023.53 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 2,030.79 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ. หรือจุดสูงสุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์ โดยราคาทองได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ในวันอังคาร ทั้งนี้ นักลงทุนรอดูรายงานการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ ประจำวันที่ 30-31 ม.ค. ซึ่งเฟดจะเปิดเผยออกมาในวันพุธนี้ โดยนักลงทุนจะพิจารณารายงานดังกล่าวเพื่อประเมินว่า เฟดมีแนวโน้มจะเริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเมื่อใด
- ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ดิ่งลงในวันอังคาร โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลเรื่องอุปสงค์น้ำมันในตลาดโลก หลังจากองค์การพลังงานระห่างประเทศ คาดการณ์ในสัปดาห์ที่แล้วว่า อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกอาจจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.22 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีนี้ ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน เป็นอย่างมาก เพราะโอเปกคาดว่า อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกอาจจะเพิ่มขึ้น 2.25 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีนี้ นอกจากนี้ IEA กับกลุ่มโอเปกยังคาดการณ์แนวโน้มที่แตกต่างกันไปในส่วนของพลังงานทดแทนได้และพลังงานสะอาดด้วย โดย IEA คาดว่า อุปสงค์น้ำมันอาจจะแตะจุดสูงสุดภายในปี 2030 แต่โอเปกคาดว่าอุปสงค์น้ำมันจะปรับขึ้นต่อไปในช่วง 20 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ ความกังวลเรื่องอุปสงค์น้ำมันบดบังแรงหนุนที่ราคาน้ำมันได้รับจากสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ในขณะที่สหรัฐวีโต้ร่างมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่เรียกร้องให้มีการหยุดยิงในทันที แต่สหรัฐผลักดันให้คณะมนตรีความมั่นคงเรียกร้องให้มีการหยุดยิงชั่วคราวแทนเพื่อให้กลุ่มฮามาสปล่อยตัวประกัน ทางด้านกลุ่มฮูตีในเยเมนยังคงโจมตีเรือขนส่งสินค้าในทะเลแดงในช่วงนี้ โดยมีเรืออย่างน้อย 4 ลำที่ถูกโจมตีด้วยโดรนและขีปนาวุธนับตั้งแต่วันศุกร์ที่ 16 ก.พ.
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนมี.ค.รูดลง 1.01 ดอลลาร์ หรือ 1.3% มาปิดตลาดที่ 78.18 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก่อนที่สัญญาเดือนมี.ค.จะครบกำหนดส่งมอบในช่วงปิดตลาดวันอังคาร ส่วนราคาสัญญาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือนเม.ย.ดิ่งลง 1.30 ดอลลาร์ หรือ 1.4% มาปิดตลาดที่ 77.04 ดอลลาร์ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนดิ่งลง 1.22 ดอลลาร์ หรือ 1.5% มาปิดตลาดที่ 82.34 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล - ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงในวันอังคาร หลังจากจีนประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมสำหรับลูกค้าชั้นดี ระยะ 5 ปีลง 0.25% ในวันอังคาร โดยปรับลดลงจาก 4.20% สู่ 3.95% ซึ่งถือเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ย LPR ครั้งใหญ่สุดนับตั้งแต่จีนปฏิรูปกลไกการกำหนดราคาสินเชื่อในปี 2019 เป็นต้นมา และถือเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างรุนแรงเกินคาด เพราะนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในโพลล์รอยเตอร์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า จีนอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ย LPR ระยะ 5 ปีลงเพียง 0.05-0.15% เท่านั้นในการประชุมครั้งนี้ โดยอัตราดอกเบี้ย LPR ระยะ 5 ปีมักจะส่งผลกระทบต่อการกำหนดอัตราดอกเบี้ยในสินเชื่อจำนอง ทั้งนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของจีนในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ และสิ่งนี้ทำให้นักลงทุนตั้งความหวังกันว่า จีนอาจจะดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมอีก ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจโลกตามไปด้วย โดยนายอดัม บัตตัน หัวหน้านักวิเคราะห์สกุลเงินของบริษัทฟอเร็กซ์ ไลฟ์กล่าวว่า “นักลงทุนมองว่า ถ้าหากจีนดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เศรษฐกิจโลกก็จะเติบโตเร็วขึ้นด้วย และปัจจัยดังกล่าวก็ส่งผลให้นักลงทุนขายดอลลาร์สหรัฐออกมา และมีเงินลงทุนไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่”
ดัชนีดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินอยู่ที่ 104.04 ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยอ่อนค่าลงจาก 104.30 ในช่วงท้ายตลาดวันจันทร์ หลังจากดิ่งลงแตะ 103.79 ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 2 ก.พ.ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 149.99 เยนในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร โดยปรับลงจากระดับปิดตลาดวันจันทร์ที่ 150.11 เยน หลังจากแข็งค่าขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ 150.45 เยน โดยก่อนหน้านี้ดอลลาร์เคยพุ่งขึ้นแตะ 150.88 เยนในวันที่ 13 ก.พ. ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดรอบ 11 สัปดาห์ยูโร/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0803 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันอังคาร โดยแข็งค่าขึ้นจาก 1.0777 ดอลลาร์ในช่วงท้ายวันจันทร์ หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 1.0839 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 2 ก.พ. - ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงในวันอังคาร โดยเฉพาะดัชนี Nasdaq ที่ได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงของหุ้นบริษัทเอ็นวิเดีย ซึ่งเป็นบริษัทผู้ออกแบบชิป โดยหุ้นเอ็นวิเดียรูดลง 4.35% ในวันอังคาร ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงรายวันครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 17 ต.ค. ก่อนที่เอ็นวิเดียจะเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสในช่วงเย็นวันพุธนี้ โดยนักลงทุนกังวลว่าหุ้นเอ็นวิเดียอาจจะมีมูลค่าแพงเกินไปในตอนนี้ ในขณะที่ค่าพีอีเรโชของหุ้นเอ็นวิเดียอยู่ที่ระดับสูงกว่า 32 เท่าของคาดการณ์ผลกำไรในปัจจุบัน และเอ็นวิเดียก็ครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าในตลาดมากเป็นอันดับ 3 ของสหรัฐ และครองตำแหน่งหุ้นที่มีการซื้อขายสูงที่สุดในตลาดหุ้นนิวยอร์คในตอนนี้ด้วย โดยขึ้นมาครองตำแหน่งดังกล่าวแทนที่หุ้นบริษัทเทสลา โดยการดิ่งลงของหุ้นเอ็นวิเดียในครั้งนี้ส่งผลให้หุ้นตัวอื่น ๆ ในกลุ่มผู้ผลิตชิปร่วงลงตามไปด้วย และปัจจัยนี้ก็ส่งผลให้ดัชนีฟิลาเดลเฟียสำหรับหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐดิ่งลง 1.56% ในวันอังคาร ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐนั้น ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ ดิ่งลง 1.27% และถือเป็นกลุ่มที่ดิ่งลงมากที่สุดในวันอังคาร แต่ดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นพุ่งขึ้น 1.13% และถือเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มใหญ่เพียงกลุ่มเดียวที่ปิดตลาดวันอังคารในแดนบวก โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าจำเป็นนี้ได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัทวอลมาร์ทที่พุ่งขึ้น 3.23% มาปิดตลาดที่ 175.86 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นสถิติระดับปิดสูงสุดใหม่ หลังจากวอลมาร์ทซึ่งถือเป็นบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่คาดการณ์ยอดขายประจำปีงบการเงิน 2025 ที่สูงเกินคาด และวอลมาร์ทประกาศปรับขึ้นเงินปันผลรายปี 9% โดยการพุ่งขึ้นของหุ้นวอลมาร์ทมีส่วนช่วยจำกัดการร่วงลงของดัชนีดาวโจนส์ด้วย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับลง 0.17% สู่ 38,563.80ดัชนี S&P 500 ปิดปรับลง 0.60% สู่ 4,975.51ดัชนี Nasdaq ปิดดิ่งลง 0.92% สู่ 15,630.78 - https://www.reuters.com/
Leave a Reply